อันดับที่13 เจ้าอาวาส เอาเงินวัดซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง?


เป็นคดี สมัยปี 2541 ที่เจ้าอาวาสโดนกล่าวหายัดคดีว่า
ยักยอกเงินของวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง 
ซึ่งความจริงแล้ว เจ้าอาวาสนำเงินที่เขาถวายกับผ้ารับประเคน 
นำไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามจังหวัดต่างๆ


 เงินที่เขานำถวายกับมือเจ้าอาวาส ท่านได้นำไปใช้ในงานพระศาสนาทั้งหมด แต่ที่ต้องใส่ชื่อตัวเองในที่ดิน เพราะ จะให้ใส่ชื่อใคร
ในเมื่อปัจจัยเขาถวายท่าน ท่านก็นำไปสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้กับวัดพระธรรมกาย ถ้าไม่ใส่ชื่อเจ้าอาวาสจะให้ใส่ชื่อใครในโลกนี้อีกละครับ


เป็นเพราะโดนกดดันจากสังคม กรมศาสนาที่ไม่ใช่เจ้าของเงินที่เขาถวายเลยเป็นคนฟ้องเอง คนวัดที่เป็นเจ้าของเงินที่เขาถวายต่างยืนยันว่าถวายหลวงพ่อเองและหลวงพ่อก็ได้นำไปสร้าง
สถานที่ปฏิบัติธรรม ให้ชาวพุทธตามจังหวัดต่างได้ใช้
ถ้ามีใครสักคนที่เป็นเจ้าของทรัพย์ไปบอกในศาลว่า
ไม่ได้ถวายหลวงพ่อ ป่านนี้ หลวงพ่อคงติดคุกไปนานแล้ว


คดียืดเยื้อในศาลถึง 7 ปี หลวงพ่อก็ยืนยันคำเดิมว่า ไม่ได้ขโมย เขาถวายกับมือหลวงพ่อและหลวงพ่อก็นำไปสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้สาธุชน แต่ ทนายแนะนำหลวงพ่อว่า
 ถ้าหลวงพ่อถวายให้กับวัด คดีทางโลกก็จะจบทันที 
ไม่ต้องโดนยืดเยื้อ มาเป็น 7 ปีอย่างนี้ 
หลวงพ่อก็เห็นควร ในเมื่อหลวงพ่อไม่ได้สนใจทรัพย์อยู่แล้ว
ถึงถวายให้กับวัด 
วัดนี้ท่านเป็นคนสร้างมาเองจากผืนดินเปล่า 
ท่านเลยถวายให้กับวัด คดีทางแพ่งจึงจบลง 



ส่วนทางธรรมต้องดูที่เจตนา เจตนาดูยังไง ดูว่าเอาเงินไปทำอะไร ก็อาไปสร้างที่ปฏิบัติธรรม 
มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครมันจะไปขโมยสถานที่ปฏิบัติธรรม
ถ้าเอาไปซื้อบาตรให้ตัวเองใช้ สร้างกุฏิให้ตัวเองใช้ 
มันก็อีกเรื่องแต่นี่สร้างที่ปฏิบัติธรรมให้สาธุชนใช้ 
มันชัดเจนไม่รู้จะชัดยังไงแล้วหละครับ







<<<VDO กดเล่นได้>>>



<<<VDO กดเล่นได้>>>



<<<VDO กดเล่นได้>>>


<<<VDO กดเล่นได้>>>


<<<VDO กดเล่นได้>>>

ทุกคนที่ได้อ่านจะ ดีเบต ชนะทุกเวที!!




อันดับที่ 1 ธรรมกาย สอน ให้กู้เงินมาทำบุญ จริงหรือ?
https://goo.gl/1SNst4


 อันดับที่ 2 เอา เงินซื้อสวรรค์ ได้จริงหรือ ?
https://goo.gl/OOykKP


อันดับที่ 3 ทำไมไม่ไปสู้คดี? หนีทำไม? ไม่ผิดจะกลัวอะไร?



 อันดับที่ 4 สอนให้รวย ? ชิตังเม โป้ง รวย ?
https://goo.gl/LsafMY



อันดับที่ 5 ธรรมกาย สอนให้ทำบุญหมดตัวจริงหรือ ?
https://goo.gl/TM8zze


อันดับที่ 6 ขายค้อนสวรรค์ ด้ามละ 3 แสน จริงหรือไม่ ?
https://goo.gl/QuTafq


อันดับที่ 7 คำสอน เรื่องสวรรค์ บิดเบือนหรือไม่ ?
https://goo.gl/rNeXC0


อันดับที่ 8 ไปพบ สตีฟ จ็อบส ? อวดอุตริ ?
https://goo.gl/JPbCND


อันดับที่ 9 หลวงพ่อเจ้าอาวาส ปาราชิก จากลิขิตพระสังฆราช ?


อันดับที่ 10 แม่ชีปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงญี่ปุ่น ?

https://goo.gl/0a0uLI


อันดับที่ 11 ธุดงค์เข้าเมือง เพื่อ ?
https://goo.gl/AynuLI


อันดับที่ 12 นิพานเป็นอัตตา หรือ อนัตตา ?
https://goo.gl/GsdRr1




อันดับที่ 13เจ้าอาวาส เอาเงินวัดซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง?

อันดับที่ 14 เอาเงินไปทำอย่างอื่น ไม่ดีกว่าหรือ สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ?
https://goo.gl/9uce7O


อันดับที่ 15 ประเด็นหลวงพ่อไม่รู้จักคุณศุภชัย  ?

https://goo.gl/TFsAE7


อันดับที่ 1 ธรรมกาย สอน ให้กู้เงินมาทำบุญ จริงหรือ?

 มีใครในโลกเห็นด้วยกับการกู้เงินมาทำบุญบ้าง 
แต่ถ้าใครจะทำมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล 
แอดมินขอไม่ก้าวก่าย 
แต่แอดมินไม่เห็นด้วย 
และหลวงพ่อไม่เคยพูดสักคำว่า ลูกๆให้ไปกู้เงินมาทำบุญ 
มีใครเคยเห็นหลวงพ่อพูดคำเหล่านี้บ้างครับ?  
ยิ่งทำว่า ขายบ้าน ขายรถ ปิดบัญชี ด้วยแล้ว 
หลวงพ่อไม่เคยพูดสักคำ 


แม้สหกรณ์ฯ จะปล่อยกู้ให้คนมาทำบุญ แต่ใช่ว่า 
วัดจะเห็นด้วยถ้าวัดเห็นด้วยจริง 
ทำไมวัดไม่ปล่อยกู้เองไปเลย 
หลวงพ่อสอนว่า การเป็นหนี้เป็นทุกข์ 
ตอนหลวงพ่อให้พร ยังให้พรบ่อยๆว่า ให้หมดหนี้สิน 
หลือกินเหลือใช้ ไว้สร้างบารมี 


การที่ใครมาวัดแล้วไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสม 
แล้วจะไปโทษหลวงพ่อผิดหมดแบบนี้ก็ได้หรอครับ 
ขนาดคนในครอบครัว พ่อแม่ลูก ลูกไปทำอะไร พ่อแม่ก็ยัง
ไม่รู้ตั้งหลายเรื่อง บางเรื่องพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ไปห้ามลูกด้วยซ้ำ
 วัดคนมาเป็นแสนเป็นล้านคน 
แต่เจ้าอาวาสมีแค่คนเดียว ยิ่งเป็นเรื่องการเงินธุรกิจของสหกรณ์ด้วยแล้ว เป็นพระควรไปยุ่งหรือครับ


วัดพระธรรมกาย หนีไม่พ้นเรื่องของการระดมทุน 
หาเงินเข้าวัด เพราะมีเป้าหมายที่จะเผยแผ่คำสอนพระพุทธเจ้า
ไปทั่วโลกให้ได้ ก็อยู่ที่ 2 ประเด็น คือ 
1 เงินที่เข้ามา เอาทำงานพระศาสนาจริงหรือไม่ กับ 
2 คำสอนที่เผยแผ่เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่ 


ผมจะขอตอบให้รู้เรื่องแบบสั้นที่สุด ว่า
1 วัดพระธรรมกาย เห็นผลงานในการเผยแผ่พระศาสนามากที่สุด
ในโลกแล้ว ใช่ไหมครับถ้าไม่เชื่อลองไปหาข้อมูลดู

2 เรื่องคำสอน ถ้าจะเอาทุกประเด็น ผมบอกเลย 
เขียนถึงพรุ่งนี้ยังเขียนไม่เสร็จเลย 
แล้วใครจะอ่าน งั้นผมตอบแบบนี้นะครับว่า 
คนที่มีชีวิตที่เข้าวัดพระธรรมกายส่วนใหญ่เป็นคนยังไง 
เพราะศาสนาพุทธ วัดกันที่ การนำมาปฏิบัติครับ
(จะพูดดีพูดเก่งแค่ไหนก็ได้) ดูศีล ดูสมาธิ ดูปัญญา 




พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ศีลเป็นบ่อเกิดแห่งสมาธิ 
สมาธิเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา "
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา 
ถ้าไม่มีศีล ก็ไม่เกิดสมาธิไม่มีสมาธิก็ไม่มีปัญญา 
ดังนั้น ดูกันง่ายที่สุดก่อนคือ การถือศีล 5 ครับ 



ถ้าวัดพระธรรมกายทำลายศาสนา ไม่สามารถสอนให้ใครถือศีล5 ได้ตลอดชีวิตหรอครับ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ใครมีศีล ไม่มีศีล พระพุทธเจ้าตรัสอีกว่า "ศีลจะรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน"


สรุปคือ ไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆว่า วัดดีหรือไม่ดี จากการอ่าน การดู แต่ต้องมาอยู่ร่วมพิสูจน์ด้วยตนเอง จะรู้ความจริงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงจะตัดสินวัดทั้งวัดได้ครับ


<<<VDO กดเล่นได้>>


<<<VDO กดเล่นได้>>




อันดับที่ 2 เอา เงินซื้อสวรรค์ ได้จริงหรือ ?



วัดพระธรรมกาย และหลวงพ่อ ไม่เคยสอนสักครั้งเดียวครับ

ว่า บริจาคมากจะได้ขึนสวรรค์ อันนี้โดนใส่ร้าย แบบ โหดเหี้ยมมากๆ
ผมคนนึงก็ไม่มีทางที่จะเข้าวัดที่สอนเพี้ยนแบบนั้นหรอกครับ


หลวงพ่อท่านสอนมาตลอดครับว่า ไปสวรรค์หรือนรก อยู่ที่บุญกับบาปที่ตัวเองทำไว้ บาปก็ คือ ทำผิดศีล 5 ส่วนบุญ 
ก็คือ การทำทานรักษาศีล เจริญสมาธิ 
และสอนอีกว่า บุญจาก สมาธิ ได้บุญมากที่สุด 
เพราะเป็นทางตรงสู่มรรคนิพพาน นั่งสมาธิ ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว แถมได้บุญมากที่สุด ถ้าเราจะไปสวรรค์ 
ไม่ต้องบริจาคเลยสักบาทก็ได้ครับ 


แค่คุณ รักษาศีล5 ให้บริสุทธิ์ ก็ไปสวรรค์แล้ว และไปชั้นสูงกว่า
 คนทำทานแต่ไม่ค่อยรักษาศึล คนทำทานมาก 
แต่ถ้า ผิดศีลบ่อยๆ ก็ไม่มีทางได้ไปสวรรค์ครับ 
และวัดพระธรรมกาย ก็สอนว่า สวรรค์เป็นเพียงที่พักระหว่างทาง 
ของการเวียนว่ายตายเกิดเฉยๆ เป้าหมายคือ ต้องไปสู่มรรคผลนิพพาน แต่ถ้า ชาตินี้ ยังไม่หมดกิเลส บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
 ก็ต้อง ไปพักกลางทางที่สวรรค์ ก่อน 
แล้วถึงเวลา ลงมาเกิดสร้างบุญบารมี ปฏิบัติธรรม ฝึกศีล สมาธิ ปัญญา ให้แก่กล้า จนบรรลุธรรมหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ ต่อไป ทำไปเรื่อย ๆ ฝึกไปเรื่อยๆ สักชาติต้องสมหวังแน่นอนครับ





อันดับที่ 3 ทำไมไม่ไปสู้คดีหนีทำไมไม่ผิดจะกลัวอะไร?


แค่มีคนไปแจ้งความ ว่าหลวงพ่อ ผิด แล้ว DSI 
ก็ออกหมายเรียกให้หลวงพ่อ ไปรับทราบข้อกล่าวหา 
แต่หลวงพ่อ ให้เหตุผลว่า ไม่สบาย 
ไม่สะดวกไปรับทราบข้อกล่าวหา ที่ DSI ได้ 
แต่หลวงพ่อ ได้ถ่ายทอดสด บนเตียงผู้ป่วยในวัด แล้ว 
กล่าวเชิญให้ DSI เข้าไปพบท่าน เพื่อ พิสูจน์อาการป่วย
 และ สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้เลย ซึ่งการแจ้งข้อกล่าวหา
 ไม่จำเป็นต้องไป DSI ม่เชื่อก็ดู ตอนที่พุทธอิสระ โดนข้อหากบฏ ยังเรียกให้เจ้าหน้าที่ ออกมา แจ้งข้อหา 
ในที่ที่ พุทธอิสระ สะดวกนัดไว้ ซึ่ง DSI ก็ไปตามคำเชิญของพุทธอิสระ ทั้งๆ ไม่ได้ มีเหตุผลว่า ป่วย อะไร แต่ทำไม DSI 
ถึงไม่เข้าไปดูตามคำเชิญของเจ้าอาวาสธรรมกาย 
ที่เชิญให้เข้าไปแบบสันติวันที่ 25 พ.ค. 59


ถ้า DSI เข้ามาแจ้งข้อหา ตามคำเชิญของเจ้าอาวาสธรรมกาย จะถือได้ว่าเจ้าอาวาสได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายเลยทันที  คดีนี้จะพ้นจากความรับผิดชอบของ DSI ไปชั่วชีวิต 
คดี จะส่งไปถึง อัยการ และถ้าอัยการเห็นว่าควรฟ้องก็ส่งถึง ศาล แล้วศาลจะเป็นคนเรียกไป ไต่สวน เอง 


ทางเลือกสันตืที่ DSI ไม่เลือก แถม เจ้าหน้าที่ยังมีอำนาจตามกฏหมาย 
จับ พระผู้บริสุทธิ์ สึกได้ก่อน และขังคุกได้ก่อน 
โดยที่ศาลยังไม่ตัดสิน ศาลใช้เวลาตัดสินกี่ปีค่อยออกจากคุก (พรบ.สงฆ์ มาตรา 29 ) และเคยถูกใช้มาแล้วกับเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ คือ พระพิมลธรรม นำกำลังทหารปิดล้อมวัด 
บุกจับเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ นำมาจับสึก ขังคุก5ปี 
รังแกพระชัดๆแบบนี้พอไม่ผิดก็ไม่มีใครรับผิดชอบได้ 
กับการที่พระมาถูกจับสึก กินนอน อยู่ในคุกถึง5ปี บาปกรรมแท้ๆ


มอบตัวเป็นแผนแรกของเขา  ให้เก็บ เจ้าอาวาสก่อน คุณคิดว่า พวกเขาตามล่า ยิ่งกว่า สงครามกลางเมืองขนาดนี้ เพราะแค่อยากได้ตัว ผู้ต้องสงสัยที่แค่ถูกกล่าหา แค่นั้นหรือครับ 
มองโลกตามความเป็นจริง ก็รู้ไม่ยาก 
เขาจะ ทำลาย วัดทั้งวัด อยู่แต่แรกแล้ว 


นี่เขาก็ยอมให้เข้าไปค้น วันติด แต่พอวันที่3ไปออกกฎหมาย

ห้ามชาวพุทธทุกคนเข้ามาเหยียบวัดพระธรรมกาย
อย่างไม่มีกำหนด รรมกายเลยลุกฮือครับ 


แล้วทำไม น้องชาย ที่โกงกินบ้านเมือง ไม่มาทำงาน 

ได้เงินเดือนเป็นแสน อันนี้โกงกินเงินแผ่นดินแบบ เห็นๆ 
มีหลักฐาน ก็ไม่เห็นไปมอบตัวอะไร คนชั่วเหล่านี้เหรอ 
จะมาผดุงความเป็นธรรม อย่าฝันครับ 
แล้วทำไม ผู้ต้องหาตับแตกตาย คาห้องขัง DSI 
แล้วกล้วงวงจนปิดเสียพอดี ??? เหล่านี้ผิดแบบเห็นๆ 
ยังจะมีหน้า มาผดุงความยุติธรรม ในสังคมอีกหรือ


          มโหสถ อดีตชาติของพระพุทธเจ้า ที่ยิ่งด้วยปัญญาบารมี 
โดนยัดคดีท่านยังหนีเลยครับขนาด ยิ่งด้วยปัญญา บารมี ยังหนี แล้วใช้ปัญญา แก้ปัญหาทีหลัง การหนีไม่ได้ หมายความว่า ขี้ขลาด 
หรือไม่มีปัญญา หรือ ชั่ว ในทุกกรณี 
นี่ครับ ไม่งั้น เราจะเห็น คนชั่ว ไม่ต้องหนี เดินกร่าง ใหญ่โต คับบ้าน 
คับเมืองอย่างทุกวันนี้เหรอครับ


Link หลักฐาน หนังสือให้ออกจากวัดจาก DSI : http://strikerforpapa.blogspot.ch/2017/02/blog-post_64.html

<<<VDO กดเล่นได้>>

<<<VDO กดเล่นได้>>

<<<VDO กดเล่นได้>>



อันดับที่ 4 สอนให้รวย ชิตังเม โป้ง รวย ?

            พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า บุคคลใดให้ทานเองด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย เขาย่อมได้โภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้ว
(พระไตรปิฎก หมวดพระสุตันตปิฎก ขุททกนิกาย 
คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค๒ ตอน๓ หน้าที่๒๗)



             ชาวพุทธแสลงคำว่า รวย 
โดยที่ไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ บังคับ 
ห้ทุกคนต้องทิ้งสมบัติออกบวชเป็น พระอรหันต์ กันหมดทั้งโลก 
ท่าน ให้ทางเลือกไว้หลายทาง 
ใครจะอยู่ แต่งงานทางโลก เจริญรุ่งเรืองในทรัพย์ (ก็คือรวย) 
อยู่ทางโลก คำ้จุนพระศาสนา ก็ได้
 ก็บรรลุธรรมเป็น พระโสดาบันได้ ครับ
ความรวย ไม่ใช่ความชั่ว ความรวยไม่ใช่การยึดติด 
การรวยดีกว่าจน แต่ ถ้ารวยแล้ว งก ก็ได้แต่ ประโยชน์ตัวเอง
 แต่ใครที่รวยแล้ว ช่วยเหลือสังคม และ พระศาสนา อันนี้ประเสริฐ
 แต่ให้ดีที่สุดต้อง ละสมบัติ ออกบวช 
ปฏิบัติธรรม จนเป็นพระอรหันต์ ครับ


<<<VDO กดเล่นได้>>>  



<<<VDO กดเล่นได้>>> 


5 ธรรมกาย สอนให้ทำบุญหมดตัวจริงหรือ ?

วัดพระธรรมกายสอนให้ทำบุญทำทาน ตามหลักคำพูดที่ออกจากปากของพระพุทธเจ้า ที่บันทึกในพระไตรปิฎก ที่ว่า 

"บุคคลใดให้ทานเองด้วย 
ชักชวนผู้อื่นให้ทำทานด้วย บุคคลนั้น 
ย่อมได้ทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติในที่ๆตนเกิดแล้ว"
(พระไตรปิฎก หมวดพระสุตตันตปิฎก 
คาถาธรรมบท เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๗ )


และยังมีคำพูดที่ออกจากปากของพระพุทธเจ้า ว่า 
"บุญนั้น อำนวยผลที่น่าปรารถนาทุกอย่าง 
แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ปฏิสัมภิทา 
วิโมกข์(การบรรลุธรรม) สาวกบารมี(อรหันต์) 
พุทธภูมิ(การได้เป็นพระพุทธเจ้า) ผลที่น่าชอบใจ 
ทั้งหมดนั้น อันบุคคลย่อมได้ด้วยบุญ 
บุญสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยบุญ 
เป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่อย่างนี้"
 (พระไตรปิฎก หมวดสุตตันตปิฎก เล่ม ๑ หน้าที่ ๓๐๒) 


ต่อด้วยคำพูดพระพุทธเจ้าอีกว่า

"ดูก่อนท่านผู้เป็นภัยในวัฎฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้ เป็นชื่อของความสุข"
(พระไตรปิฎก หมวดพระสุตตันตปิฎก 
เล่มที่ ๑๕ บุญญวิปากกสูตร)


จะเห็นได้ว่า คำสอนที่แท้จริงที่ออกจากปากของพระพุทธเจ้าที่มีบันทึกในพระไตรปิฎกอย่างชัดเจน บุญมีความสำคัญตั้งแต่ปุถุชนจนกระทั่งพระอรหันต์


วัดพระธรรมกายสอนทำบุญ ซึ่งสิ่งที่ทำแล้วได้บุญ มี 10 อย่าง แต่กล่าวโดยย่อได้ 3 อย่าง คือ การทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา การทำทาน เป็นการลดกิเลสความโลภ และมีอานิสงค์ คือ การเจริญรุ่งเรืองในทรัพย์ การรักษาศีล เป็นการลดกิเลส ความโกรธ และมีอานิสงค์ คือ จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ที่มีอายุยืน แข็งแรง ครบ 32 ประการ ผิวพรรณหน้าตาสมบูรณ์ การเจริญภาวนา เป็นการลดกิเลส ความหลง และมีอานิสงค์ คือ จะเป็นผู้มีปัญญา 
ฉลาดทั้งทางโลกและทางธรรม ได้บรรลุธรรม 


ดังนั้น เราต้องทำทั้งทาน ศีล และภาวนา ให้ครบถ้วน ไปทุกภพทุกชาติ ก็จะเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกและทางธรรม 
เมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม ก็จะได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ 
เข้าสู่นิพพาน 


วัดพระธรรมกาย ไม่เคยสอน ให้ปิดบัญชีทางโลก แต่เคยได้ยินลูกศิษย์ บางคน ที่อยากจะสละทรัพย์ 
เพื่อประโยชน์พระศาสนา  ส่วนรวม ในการสร้างคนให้เป็นคนดี อยากจะเสียสละตัวเอง เงินเก็บมานานเลยปิดบัญชี 
ไม่เคยได้ยินหลวงพ่อ พูดให้ทำบุญจนหมดตัว 
แม้แต่ครั้งเดียว ได้ยินแต่คน นอกวัดพูดว่า เขาบอก
หลวงพ่อ จะสอนว่า ทำทานได้ 
บุญมากน้อย อยู่ที่ “ใจ” เป็นสำคัญที่สุด คือ ใจต้องปลื้ม ใจต้องใส อย่างนี้จะได้บุญอย่างเต็มที่ สำคัญกว่า จำนวนเงิน



ชาวพุทธบางคน แสลงคำว่ารวย โดยที่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าให้ทางเลือกไว้ว่าใครจะละทิ้งสมบัติ ออกบวช ไปนิพพานเลยก็ได้หรือใครจะอยู่ทางโลก เจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์และสนับสนุนพระศาสนาและสังคมก็ได้ แม้ไม่หมดกิเลสแต่ก็เป็นพระโสดาบันได้ 


ชาวพุทธมีสิทธิ์เลือกได้พระพุทธเจ้าไม่ได้บังคับว่าคนทุกคน 
จะต้องทิ้งสมบัติบวชเป็นพระอรหันต์กันหมดทุกคน
 คุณสามารถอยู่ร่ำรวยทั้งโลก ถือศีลปฏิบัติธรรม 
ค้ำจุนพุทธศาสนาก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันได้ 
ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้มีทรัพย์มาก

"บุคคลใดให้ทานเองด้วย 
ชักชวนผู้อื่นให้ทำทานด้วย บุคคลนั้น 
ย่อมได้ทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติในที่ๆตนเกิดแล้ว"

(พระไตรปิฎก หมวดพระสุตันตปิฎก ขุททกนิกาย 
คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค๒ ตอน๓ หน้าที่๒๗)


ความร่ำรวยไม่ใช่ความชั่ว และคนรวยไม่จำเป็นต้องยึดติดในทรัพย์ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีพระอรหันต์ที่เป็นเลิศทางด้านโชคลาภ
นามว่า พระสีวลี พระพุทธเจ้าสอนให้เราชาวพุทธเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรม คือโลกียทรัพย์และอริยทรัพย์ครับ


<<<VDO กดเล่นได้>>




ขายค้อนสวรรค์ ด้ามละ แสน จริงหรือไม่ ?


เรื่องขายค้อน ก็มั่วเกินไปครับ วัดไม่เคยขายค้อนนะ 
ค้อนเป็นของแจกฟรีให้กับตัวแทน ในพิธีตอกเสาเข็ม 
สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม 
ตัวแทนก็หมายถึงไม่ได้เป็นทุกคน 
วัดก็ใช้ระบบการอุปการะ 
เหมือนวัดอื่นๆ เช่นประธานกฐิน หรือสร้างโรงพยาบาล 
ผู้ที่อุปการะโรงพยาบาลนั้นๆก็จะมีสิทธิพิเศษ มากกว่าคนอื่น 


วัดจะแจกค้อนหรือไม่ ก็ไม่มีใคร สนใจ 
เพราะเจ้าของเงินเขาอยากทำบุญ 
คนเราไม่มีใคร งมงาย ขนาด ซื้อฆ้อนเป็นแสน หรอกครับ 
แต่ถ้าทำบุญเป็นแสน ก็แล้วแต่เขา จะไปว่าเขา งมงาย ก็คงไม่ถูก 
เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ห้าม ไม่ให้ทำบุญเยอะ 
ใครทำมากท่านก็โมทนา ใครทำน้อยท่าน ก็โมทนา 
ถ้าสงสัยเรื่องการทำทาน วัดสอนถูกหรือผิด แนะนำให้ไปอ่าน 
ผู้ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นเลิศด้านการถวายทาน คือ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ดูนะครับ 
แล้วจะรู้ว่า วัดสอนถูกหรือผิด





<<<VDO กดเล่นได้>>


อันดับที่ 7 คำสอน เรื่องสวรรค์ บิดเบือนหรือไม่ ?


 คำสอนเรื่องสวรรค์ ว่า ทำอย่างนี้ จะได้ ทิพยสมบัติ อย่างนี้ 
ก็เป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ สอนครับ 
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนไปนิพพานอย่างเดียวนะครับ บางคนพระพุทธเจ้าสอน ให้ไม่ตกนรก ไปสวรรค์ ก็มีครับ บางคนก็สอนไปนิพพานเลยก็มีครับ ในพระไตรปิฏกเยอะแยะครับ 

ไปดูตอนพระโมคคัลลานะ เทศน์สอนสาธุชน เรื่อง เทพธิดา ดูครับ 
ท่าน ก็มาสอนว่า ทำบุญอย่างไร จะได้ ทิพยสมบัติ อย่างไร 
ท่านขึ้นไปถาม เทพธิดา แล้วมาตอบเอง เลย 



ชาวพุทธเราไม่รู้ว่า การสอนเรื่อง นรก สวรรค์ 

เป็นสิ่งที่ถูกตามหลักคำสอน ที่เป็นแบบ 
การแสดงธรรมจากเข้าใจง่ายไปยาก ชื่อ หัวข้ออนุปุพิกถา ที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมหัวข้อนี้ให้กับ ยสะกุลบุตร มี 5 หัวข้อคือ

1.ทานกถา(สอนว่าทำทานเป็นเหตุให้เกิดโภคทรัพย์สมบัติ 
บางคนเกิดมามีทรัพย์เลยเพราะทำทานมา 
บางคนไม่มีทรัพย์เลยเพราะ ตระหนี่ )
 2.ศีลกถา(สอนเรื่องกฏแห่งกรรม ผิดศีลแต่ละข้อ 
มีโทษอย่างไร และถ้าถือศีลจะมีอานิสงค์อย่างไร) 
3.สวรรค์กถา(สอนว่าถ้าตายควรไปสวรรค์มากกว่านรก) 
4.โทษของกาม(แต่มีสิ่งที่ดีกว่าสวรรค์นะสนใจมั้ย) และ 
5. อานิสงค์ของการออกจากกาม
(ถ้าสนใจทิ้งสมบัติแล้วมาออกบวชไปนิพพานกันเลย) 


แต่หลวงพ่อท่านสอนว่า คนเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แสวงบุญ สร้างบารมี 
ท่านสอนว่า การปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
(การทำทาน รักษาศีล เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป) 
แต่ในโซเชียล จะไม่รู้ เพราะ ได้ข้อมูล หรือ vdo ที่ตัดมาจาก 
กลุ่มแอนตี้ธรรมกาย ก็เขาคัดมาแล้ว เขาไม่เคยเอา ที่ส่วนใหญ่หลวงพ่อสอนมาลง เอาแต่ที่หลวงพ่อท่าน สอนใน รายการ อนุบาลวิทยา เป็นธรรมะแบบคนใหม่ๆ ท่านก็บอกอยู่ตลอด ของคนใหม่ อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ก็เป็นไปตามหัวข้อ อนุบุพิกถา แล้วตัดมาบางส่วน คนก็เข้าใจแต่แบบนั้นไงครับ


<<<VDO กดเล่นได้>>




อันดับที่ 8 ไปพบ สตีฟ จอป อวดอุตริ ?


 อวดอุตริ คือการอวดอ้างคุณวิเศษ "ที่ไม่มีอยู่จริงในตน "
เรื่องนี้เป็นเรื่องปุถุชน ไม่สามารถตัดสินได้ ครับ
เช่น ถ้าหลวงพ่อโต พรหมรังสี ท่าน มีอภิญญา มีตาทิพย์
เราจะว่าท่าน อวดอุตริ หรือ ปาราชิก ได้หรือครับ  
วิสัยของฌาน อยู่นอกเหนือ ปุถุชน อย่างเราๆ จะไปตัดสินได้ครับ
เราต้องยอมรับ ว่า เราก็ไม่รู้ว่าความจริงเป้นอย่างไร
ใครทำได้ไม่ได้ เราทำไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มี 
พุทธบุตรองค์ใดทำไม่ได้เลย
เราต้องยอมรับว่า เรายังไม่รู้ความจริง
เราจึงไม่ควรแน่ใจแล้ว ตัดสินไปเลยครับ


และสิ่งที่เจ้าอาวาสธรรมกายพูดถึง สตีฟ จ็อบส์ ก็ไม่ใช่การมาอวดอ้างอะไร ท่านนำมาเพื่อสอนเรื่องกฎแห่งกรรม 
ภพภูมิหลังความตาย ที่มีในพระไตรปิฎก 
ลองไปฟังดูซิครับ มีตรงไหนที่หลวงพ่อพูดอวดเบ่งบ้าง 
มีแต่สอนเรื่องกฎแห่งกรรม ตามหลักพระพุทธเจ้า


แม้ในอดีต พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สมัยนั้น ก็มีการแสดงธรรมแบบนี้บ่อยๆ 
เช่น สมัยพระเจ้าปเสนทิโกศล มีพระมเหสีคือพระนางมัลลิกา 
เมื่อพระมเหสีสุดที่รักตายไป พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงไปถามพระพุทธเจ้าว่า พระมเหสีของตนตายแล้วไปไหน ?
พระพุทธเจ้าท่านก็ตอบว่าไปสวรรค์ชั้นนั้น ชั้นนี้ 
มีความเป็นอยู่อย่างไร ท่านก็บรรยายไปตามจริง

นี่ก็เป็นตัวอย่างของเรื่องกฎแห่งกรรม ภพภูมิหลังความตาย 
ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพระสงฆ์สมัยนั้น ท่านก็สอนแบบนี้


ส่วนหลวงพ่อ ท่านจะไปดูว่า สตีฟ จ็อบส์ ตายแล้วไปไหน 
ทำได้จริงไหมคนที่ยังไม่บรรลุธรรรม ไม่มีอภิญญาทางจิต 
อย่างพวกเรา ไม่มีทางรู้ความจริงได้เลย 
ดังนั้น เมื่อไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ 
ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วบอกว่า รู้ และตัดสินด่าว่าทั้งๆที่ไม่รู้

*พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ หน้าที่ ๑๖๖ พระนางมัลลิกา




<<<VDO กดเล่นได้>>




อันดับที่ 9 หลวงพ่อเจ้าอาวาส ปาราชิก จากลิขิตพระสังฆราช ?


พระลิขิตผมจะบอกให้เอาบุญนะครับ ว่า 
ขนาดพระพุทธเจ้า จะตัดสินใครว่า ปาราชิกยัง ?
ต้องเรียกพระรูปนั้นมาถามก่อน ทุกครั้ง 
ไม่มีครั้งไหนที่พระพุทธเจ้าไม่เรียกเจ้าตัวมาถาม


 แล้วผมถามหน่อย ก่อนพระลิขิตออกมาได้มีการ สอบถาม หลวงพ่อธัมมชโยหรือยัง ได้เจอเจ้าตัวก่อนหรือยังครับ ผมจะบอกให้นะครับว่า พระสังฆราชนะครับ 
ไม่ใช่พวกเรา ท่านไม่ทำอะไรที่เกินพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้หรอกครับ 

จะกล่าวหาใคร ต้องฟังความจากเจ้าตัวก่อน แล้วพระลิขิตก็มีแต่ ฉบับสำเนา ฉบับแฟกซ์ 

ไมมีใครในโลก เคยเห็น ฉบับจริง ที่มีลายเซ้นต์จริงๆของ พระสังฆราชสักที แล้วคนที่ ถือพระลิขิต มาเป็นประจำ 
ตอนหลังก็โดนจับได้ว่า ปลอมพระลิขิต แต่งตั้งตัวเอง 
ให้ได้ตำแหน่ง ชัดมั้ยครับ ไปลองหาหลักฐานที่ผมพูดดูเองครับ 
แล้วจะเลิกพูดเรื่องพระลิขิตไปตลอดชีวิตเลยคับ







10 แม่ชีปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงญี่ปุ่น ?



ปัดระเบิด เป็นเรื่อง ข่าว สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 สมัยนั้นยังไม่มีวัดพระธรรมกายเลยครับ แต่พระและแม่ชีที่อยู่สมัยนั้นท่านเล่าว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสั่งให้พระและแม่ชีกลุ่นนึงที่ได้อภิญญาทางจิตให้ เครื่องบินทิ้งระเบิดมองเห็นเมืองเป็นป่าเห็นป่าเป็นเมือง 
เอาไปทิ้งทะเลอะไรประมาณนี้ 


คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เขาเล่าให้ฟังครับ ไม่ใช่เรื่องที่วัดพระธรรมกายแต่งขึ้น
เขาก็เล่ากันสนุกๆต่อๆกันมา เพราะหลวงพ่อสดเป็นพระที่วัดพระธรรมกายนับถือเป็นครูบาอาจารย์เรื่องเล่าอะไรที่เกี่ยวกับหลวงพ่อสด เขาก็สนใจหมดครับ 
แต่ทางวัดก็ไม่ได้จับมาเป็นสิ่งสำคัญอะไรเลย ทางวัดเน้นวิธีการเจริญสมาธิภาวนาที่หลวงพ่อสดท่านสอน มากกว่า 
เป็นร้อยเป็นพันเท่าครับ นานๆๆๆ
ท่านจะเล่าเรื่องอะไรแบบนี้สักที แต่พวกก็จับแต่สิ่งที่ท่านได้ฟังมาจากพระและแม่ชี สมัยสงครามโลกมาขยายให้ท่านเสียหาย 
เหมือนดูหนังฟังเพลง ถ้าดูหรือฟังแค่บางท่อนก็ อาจเห็นร้ายเป็นดี เห็นดีเป็นร้ายได้ง่ายๆนะครับ

ไม่ตรงไหนที่บอกเลยที่ บอกว่าปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงญี่ปุ่น 
มีแต่พูดถึง ระเบิดลูกนึงที่มีอานุภาพทำลายล้างกว่าลูกอื่นๆ
ถ้ามาลงที่พระนคร ทุกอย่างจะราบเป็นหน้ากลอง
หลวงปู่สด วัดปากน้ำก็สั่งให้ลองใช้อภิญาทางจิตช่วยเหลือดู

แต่สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม 
เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ได้ไปลงญี่ปุ่น 
คนตายเป็นล้าน ไม่มีใครหน้าไหนหรอกครับ
จะปัดระเบิดนิวเคลียร์ไปลงญี่ปุ่น คนตายเป็นล้าน
แล้วจะยังมีหน้ามาพูดอวดอ้างให้คนอื่นฟัง


<<<VDO กดเล่นได้>>


อันดับที่ 11 ธุดงค์เข้าเมืองเพื่อ ?


การเดินธุดงค์เข้าเมืองของธรรมกาย มีจุดประสงค์ 
เดินตามเส้นทางชีวิตของหลวงปู่สด 
วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จากวัดพระธรรมกาย-สุพรรณ
(สถานที่เกิดของหลวงปู่และบวช)
-นนทบุรี(ที่บรรลุธรรมของหลวงปู่)
-นครปฐม(เผยแผ่ธรรมที่บรรลุธรรมครั้งแรก)
-วัดปากน้ำภาษีเจริญ(ทำวิชชาและมรณภาพ) 
รวมระยะทาง 456 กิโลเมตร เดิน 30 วัน 

พระพุทธเจ้าสอนว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด 
โดยเดินทางเรียงหนึ่งริมถนน ไม่ได้ปิดถนน 
และไม่มีเจตนาที่จะทำให้รถติด 
แต่ต้องยอมรับว่า การบริหารจัดการยังไม่ดีพอ 
เลยทำให้บางจุดมีรถหนาแน่น 
อันนี้ ทางวัดต้อ ขอโอกาสปรับปรุการบริหารจัดการ 

ส่วนการโปรยดอกไม้ เป็นทางเพื่อต้อยรับพระธุดงค์ 
เป็นการเลียนแบบชาวพุทธที่มีบันทึกในพระไตรปิฎก 
สมัยหนึ่งที่ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง นามว่า พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า 
พร้อมคณะสงฆ์ 400,000 รูป เดินเข้าเมืองพร้อมๆกัน 
ชาวเมืองสมัยนั้น ก็โปรยดอกไม้ 5 สี ต้อนรับ และ
พระถ้าถือธุดงค์ ข้อใดข้อหนึ่งใน 13 ข้อ ก็เรียกว่า พระธุดงค์ ได้เลย 
เช่น ฉันอาหารมื้อเดียว ก็ถือธุดงค์แล้ว 
ไม่ได้ผูกขาดว่าต้องเดินป่าแต่อย่างใด 
การธุดงค์ คือ การถือข้อปฏิบัติธุดงควัตร ตั้งแต่ ข้อขึ้นไปใน 13 ข้อ 

*ธุดงควัตรมี 13 ข้อคือ
หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับจีวร)
      1.การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร คือการใช้แต่ผ้าเก่าที่คนเขาทิ้งเอาไว้ตามกองขยะบ้าง ข้างถนนบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง นำผ้าเหล่านั้นมาซัก ย้อมสี เย็บต่อกันจนเป็นผืนใหญ่แล้วนำมาใช้ งดเว้นจากการใช้ผ้าของโยมโดยตรงทุกชนิด (วางใกล้เท้าได้)
      2.การถือผ้า 3 ผืน (ไตรจีวร) เป็นวัตร คือการใช้ผ้าเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อันได้แก่ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าสารพัดประโยชน์ เช่น คลุมกันหนาว ปูนั่ง ปูนอน ปัดฝุ่น ใช้แทนสบง หรือจีวรเพื่อซักผ้าเหล่านั้น ปัจจุบันภิกษุไทยมักใช้พาดบ่าเมื่อประกอบพิธีกรรม)

หมวดที่ 2 ปิณฑปาตปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับบิณฑบาต)
     1.การถือบิณฑบาตเป็นวัตร คือการบริโภคอาหารเฉพาะที่ได้มาจากการรับบิณฑบาตเท่านั้น ไม่บริโภคอาหารที่คนเขานิมนต์ไปฉันตามบ้าน 
      2.ถือการบิณฑบาตตามลำดับบ้านเป็นวัตร คือจะรับบิณฑบาตโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เลือกว่าเป็นบ้านคนรวยคนจน ไม่เลือกว่าอาหารดีไม่ดี มีใครใส่บาตรก็รับไปตามลำดับ ไม่ข้ามบ้านที่ไม่ถูกใจไป 
     3.ถือการฉันในอาสนะเดียวเป็นวัตร คือ ในแต่ละวันจะบริโภคอาหารเพียงครั้งเดียว เมื่อนั่งแล้วก็ฉันจนเสร็จ หลังจากนั้นก็จะไม่บริโภคอาหารอะไรอีกเลย นอกจากน้ำดื่ม 
     4.ถือการฉันในบาตรเป็นวัตร คือจะนำอาหารทุกชนิดที่จะบริโภคในมื้อนั้น มารวมกันในบาตร แล้วจึงฉันอาหารนั้น เพื่อไม่ให้ติดในรสชาดของอาหาร 

      5.ถือการห้ามภัตที่ถวายภายหลังเป็นวัตร คือเมื่อรับอาหารมามากพอแล้ว ตัดสินใจว่าจะไม่รับอะไรเพิ่มอีกแล้ว หลังจากนั้นถึงแม้มีใครนำอะไรมาถวายเพิ่มอีก ก็จะไม่รับอะไรเพิ่มอีกเลย ถึงแม้อาหารนั้นจะถูกใจเพียงใดก็ตาม

หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับเสนาสนะ)
     1. ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร คือจะอยู่อาศัยเฉพาะในป่าเท่านั้น จะไม่อยู่ในหมู่บ้านเลย เพื่อไม่ให้ความพลุกพล่านวุ่นวายของเมืองรบกวนการปฏิบัติ หรือเพื่อป้องกันการพอกพูนของกิเลส
      2. ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร คือจะพักอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้เท่านั้น งดเว้นจากการอยู่ในที่มีหลังคาที่สร้างขึ้นมามุงบัง
      3. ถือการอยู่กลางแจ้งเป็นวัตร คือจะอยู่แต่ในที่กลางแจ้งเท่านั้น จะไม่เข้าสู่ที่มุงบังใดๆ เลย แม้แต่โคนต้นไม้ เพื่อไม่ให้ติดในที่อยู่อาศัย
      4. ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร คือจะงดเว้นจากที่พักอันสุขสบายทั้งหลาย แล้วไปอาศัยอยู่ในป่าช้า เพื่อจะได้ระลึกถึงความตายอยู่เสมอ ไม่ประมาท
      5. ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดไว้ให้เป็นวัตร คือเมื่อใครชี้ให้ไปพักที่ไหน หรือจัดที่พักอย่างใดไว้ให้ ก็พักอาศัยในที่นั้นๆ โดยไม่เลือกว่าสะดวกสบาย หรือถูกใจหรือไม่ และเมื่อมีใครขอให้สละที่พักที่กำลังพักอาศัยอยู่นั้น ก็พร้อมจะสละได้ทันที
      6. ถือการนั่งเป็นวัตร คือจะงดเว้นอิริยาบถนอน จะอยู่ใน 3 อิริยาบทเท่านั้น คือ ยืน เดิน นั่ง จะไม่เอนตัวลงให้หลังสัมผัสพื้นเลย ถ้าง่วงมากก็จะใช้การนั่งหลับเท่านั้น เพื่อไม่ให้เพลิดเพลินในการนอน






อันดับที่ 12 นิพานเป็นอัตตา หรือ นัตตา ?


เรื่องนิพพาน เป็น อัตตาหรือนัตตานั้น ขอบอกว่า 
หลักฐานถ้าเป็น 
คำพูดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยตรง ที่หลงเหลือ ไม่ระบุแบบชัดเจน
ว่านิพพานเป็นอัตตาหรือนัตตา 
ไม่งั้นจะเถียงกันเป็นร้อยๆปีหรือครับ  
แต่ที่ระบุชัดเจนในพระไตรปิฏก 
คือส่วน ที่พระยุคหลังท่านสังคยานาพระไตรปิฏก พันปีหลัง 
ท่าน เขียนขยายความ พุทธพจน์ มาอีกที ที่เรียกกันว่า ส่วนของอรรถกถาจารย์ นั่นแหละครับ

ที่บอกว่า นิพพานเป็น อนัตตา แต่ของอรรถกถาจารย์ก็มีหลายรูปครับ บางรูปก็ขยาย ว่าเป็น อัตตา เลยมีปัญหา 
กันตรงนี้มายาวนานครับ 
แต่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองคือ กฏไตรลักษณ์ ความว่า



 "สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ 
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น นัตตา " 
และพระพุทธเจ้า ตรัสว่า 
"นิพพานัง ปะระมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"  
พอมาเจอกับ คำว่า สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้น เป็นอนัตตา 
คนที่เขาจับพุทธพจน์ สองบท สำคัญนี้ ก็เลย 
ทำให้เข้าใจได้ว่า นิพพาน เป็น อัตตา


การที่วัดพระธรรมกาย จะสอนว่า นิพพานเป็น อัตตา ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้อง มาล้มล้างวัดเพราะ คนที่สอน นิพพานเป็นอนัตตา ก็สามารถ ถูกยก พุทธพจน์ให้ แย้ง ไม่ได้เช่นกันครับ 
แต่ฝ่าย ที่สอน นิพพานเป็นอนัตตา 
มักจะชอบหยิบยกเรื่องนี้มาโจมตีอีกฝ่าย 
อย่างเอาเป็นเอาตาย 

เรายกตัวอย่าง
 พระเกจิที่สอนนิพพานเป็น อัตตา
 มี หลวงพ่อโต พรหมรังสี หลวงปู่แหวน สุจิณโณ 
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่โต๊ะ วัดประดูฉิมพลี หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ และอีกเยอะนะ 

แต่เราเห็นว่า ถ้าไม่มีใครบรรลุนิพพานกันจริง ก็ไม่ควร

 มาเถียงกันแบบจะล้มล้างอีกฝ่ายให้ได้ ว่ามั้ยหละครับ 
เถียงกันพอแลกเปลี่ยนความรู้ความเห็น กันพองาม ก็เป็นเรื่องดีครับ




13 เจ้าอาวาส เอาเงินวัดซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง?


เป็นคดี สมัยปี 2541 ที่เจ้าอาวาสโดนกล่าวหายัดคดีว่า
ยักยอกเงินของวัดไปซื้อที่ดินใส่ชื่อตัวเอง 
ซึ่งความจริงแล้ว เจ้าอาวาสนำเงินที่เขาถวายกับผ้ารับประเคน 
นำไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามจังหวัดต่างๆ


 เงินที่เขานำถวายกับมือเจ้าอาวาส ท่านได้นำไปใช้ในงานพระศาสนาทั้งหมด แต่ที่ต้องใส่ชื่อตัวเองในที่ดิน เพราะ จะให้ใส่ชื่อใคร
ในเมื่อปัจจัยเขาถวายท่าน ท่านก็นำไปสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้กับวัดพระธรรมกาย ถ้าไม่ใส่ชื่อเจ้าอาวาสจะให้ใส่ชื่อใครในโลกนี้อีกละครับ


เป็นเพราะโดนกดดันจากสังคม กรมศาสนาที่ไม่ใช่เจ้าของเงินที่เขาถวายเลยเป็นคนฟ้องเอง คนวัดที่เป็นเจ้าของเงินที่เขาถวายต่างยืนยันว่าถวายหลวงพ่อเองและหลวงพ่อก็ได้นำไปสร้าง
สถานที่ปฏิบัติธรรม ให้ชาวพุทธตามจังหวัดต่างได้ใช้
ถ้ามีใครสักคนที่เป็นเจ้าของทรัพย์ไปบอกในศาลว่า
ไม่ได้ถวายหลวงพ่อ ป่านนี้ หลวงพ่อคงติดคุกไปนานแล้ว


คดียืดเยื้อในศาลถึง 7 ปี หลวงพ่อก็ยืนยันคำเดิมว่า ไม่ได้ขโมย เขาถวายกับมือหลวงพ่อและหลวงพ่อก็นำไปสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้สาธุชน แต่ ทนายแนะนำหลวงพ่อว่า
 ถ้าหลวงพ่อถวายให้กับวัด คดีทางโลกก็จะจบทันที 
ไม่ต้องโดนยืดเยื้อ มาเป็น ปีอย่างนี้ 
หลวงพ่อก็เห็นควร ในเมื่อหลวงพ่อไม่ได้สนใจทรัพย์อยู่แล้ว
ถึงถวายให้กับวัด 
วัดนี้ท่านเป็นคนสร้างมาเองจากผืนดินเปล่า 
ท่านเลยถวายให้กับวัด คดีทางแพ่งจึงจบลง 

ส่วนทางธรรมต้องดูที่เจตนา เจตนาดูยังไง ดูว่าเอาเงินไปทำอะไร ก็อาไปสร้างที่ปฏิบัติธรรม 
มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ใครมันจะไปขโมยสถานที่ปฏิบัติธรรม
ถ้าเอาไปซื้อบาตรให้ตัวเองใช้ สร้างกุฏิให้ตัวเองใช้ 
มันก็อีกเรื่องแต่นี่สร้างที่ปฏิบัติธรรมให้สาธุชนใช้ 
มันชัดเจนไม่รู้จะชัดยังไงแล้วหละครับ







อันดับที่14 เอาเงินไปทำอย่างอื่น ไม่ดีกว่าหรือ สร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ?



ช่วงน้ำท่วม หลวงพ่อ ท่านได้ นำเงินที่ท่านมี มาช่วยเหลือ ทำข้าวกล่อง แจกชาวบ้านวันละเป็นหลายหมื่นกล่อง ช่วยคนให้อดตาย ได้วันละหลายหมื่นคน เป็นเวลา 2 เดือนกว่า ผมอยู่ในเหตุการณ์ มาเป็นอาสา กินนอน อยู่ที่วัดทั้ง 2 เดือน 


พระใน 4 จังหวัดภาคใต้ ท่านออกบิณฑบาตรไม่ได้ ไม่มีอะไรกินบางมื้อ นี่ที่ท่านทำประโยชน์ทางโลก ยังไม่รวมถึงประโยชน์ทางธรรมที่ 
หลวงพ่อวัดพระธรรมกาย ท่านก็ ส่งข้าวสารอาหารแห้ง ยารักษาโรค จีวร ปัจจัย อื่นๆ ลงไปช่วยทั้่ง 300 กว่าวัด ทุกเดือน เป็นเวลา 12 ปี ไม่เคยขาด ทำให้พระ 4จังหวัดชายแดนใต้ ท่านมีกินมีชีวิตอยู่ได้ 

ผม เคยไปเป็นอาสา คอยดูแลเจ้าอาวาสแก่ๆรูปนึง ท่านอยู่จังหวัด ยะลา ท่านบอกผมว่า ถ้าไม่ได้ รับการช่วยเหลือจากเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ท่านคงอดตายไปนานแล้ว ยังไม่รวมถึงที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านเปิดโรงทาน ทุกวัน เลี้ยงคนและพระวันละหลายหมื่นคน มาหลายสิบปี และให้พระได้บวชฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย รวมถึงเปิดคลินิกที่วัดรักษา คนและพระฟรี 
วันละหลายร้อยคน มาหลายสิบปี มีอีกเยอะครับ 

หลวงพ่อท่านทำให้คน จากที่ไม่มีศีล ให้เป็นคน มีศีล5 ได้ น่าจะ หลายหมื่นคนละครับ 

ผมคือ หลักฐาน หนึ่งคนครับ ถ้าสังคมมีคนถือศีล มากเท่าไหร่ การเบียดเบียนทำร้ายกันก็ไม่เกิดขึ้นมากมาย เหมือนตอนนี้ หรอกครับ ที่ประเทศ วุ่นวาย เพราะคนเบียดเบียนกันครับ 
พี่เคยเห็นหลวงพ่อเจ้าอาวาส ออกมา ว่าร้ายใคร สักคนมั้ยครับ ท่านมีแต่พูดว่า เป็นเพราะท่านผิดเอง 
ที่ชี้แจงความจริงให้เขาไม่ได้ ผมอยู่ในวัดก็เห็นเป็นอย่างนี้ 10 ปี ครับ กับการพิสูจน์วัดพระธรรมกาย

<<<VDO กดเล่นได้>>









<<<VDO กดเล่นได้>>



<<<ตัวแทนคณะสงฆ์จากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสี่อำเภอในจังหวัดสงขลา 
ได้รับกล่าวถึงความช่วยเหลือจาก หลวงพ่อธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย>>>

<<<VDO กดเล่นได้>>

<<<VDO กดเล่นได้>>


อันดับที่ 15 ประเด็นหลวงพ่อไม่รู้จักคุณศุภัชัย  ?


          คุณศุภชัย ไม่ใช่ ศิษย์เอก ครับ และหลวงพ่อก็บอกว่า
ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ไม่รู้จักเลย 
รู้ว่า เป็นคน มาทำบุญ เห็นหน้าอยู่หลายครั้ง 
แต่ไม่ได้ รู้จักกันจริงๆ เหมือน เพื่อนในระดับชั้นเรียน 
ที่เราเคยเห็นหน้า 
แต่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเหมือนเพื่อน ในกลุ่มเราจริงๆ 

และ คุณศุภชัย เป็นหนึ่งในหลายคนที่เป็นไวยาวัจกร 
และหลวงพ่อไม่ได้ เป็นคนเลือกเองทุกคนครับ 
แถม คุณศุภชัยยังเป็นไวยาวัจกรที่ ไม่ได้ ยุ่งเกียวกับการเงินของวัดเลยครับ 
ทางวัดจะมี คณะกรรมการบริหารการเงิน 
แถมคุณศุภชัย แม้จะบริจาคเป็นร้อยล้าน เขียนเช็คเป็นชื่อ หลวงพ่อ แต่ก็ม่ได้ มาถวายส่วนตัว ได้นำเช็คใส่ซองแล้วไปยืน 
ต่อแถวถวายพร้อมคนเป็น แสนๆคน 

หลวงพ่อจับแต่ผ้าประเคน ครับ แล้วก็ไม่ได้ 
จับเช็คหรือเงินทุกบาทเลย คณะกรรมการการเงิน จะเป็นคนดำเนินการทั้งหมดในการใช้จ่ายในงานพระศาสนา 
และคุณศุภชัยก็ไม่ได้เป็น คนที่บริจาคเงินมากที่สุด ในวัด 
ยังมีคนอื่น อีกที่บริจาคมากว่า คุณศุภชัย 
เท่าที่ผมรู้น่าจะ 5-10 คน มั้งนะครับ 
แต่ที่แน่ๆ ไม่่ใช่คนที่บริจาคมากที่สุดแน่ๆครับ



<<<VDO กดเล่นได้>>


<<<VDO กดเล่นได้>>


<<<VDO กดเล่นได้>>



<<<VDO กดเล่นได้>>


<<<VDO กดเล่นได้>>